เรื่องต้องรู้ เจาะ ‘บ่อบาดาล’ ขุดลึกแค่ไหน แล้วต้องทำเรื่องขออนุญาตอย่างไร
หากติดตามกระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมา หนึ่งในกรณีที่มีการพูดถึง คือกรณีเกี่ยวกับ “น้ำบาดาล” ที่ “พิมรี่พาย” แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ได้เคยเดินทางไปขุดบ่อบาดาลเพื่อช่วยเหลือประชาชน
ความดราม่าที่เกิดขึ้น มาจากมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดบ่อบาดาลที่พิมรี่พายไปขุดเจาะนั้น ถึงมีราคาถูกกว่าการที่ภาครัฐดำเนินการ ขณะที่เสียงอีกข้างจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงประเด็นนี้ว่า ราคาการเจาะบ่อบาดาลจะแพงหรือไม่แพงขึ้นอยู่กับความลึกของบ่อ บางทีบ่อลึก 300-400 เมตร จะให้ราคาขุดเท่ากับบ่อที่มีความลึก 30 เมตรได้อย่างไร รวมถึงท่อที่ใส่ไปก็ไม่เหมือนกัน
ขณะเดียวกันหลายคนก็อาจจะยังมีคำถามว่า หากต้องการขุดเจาะหรือใช้น้ำบาดาล ซึ่งทำให้พื้นที่ของตัวเอง จำเป็นจะต้องขออนุญาตหรือไม่ อย่างไร
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" สรุปเรื่องควรรู้ สำหรับใครที่กำลังคิดจะขุด "บ่อบาดาล" เพื่อนำ "น้ำบาดาล" ขึ้นมาใช้ ว่า ต้องทำตามเงื่อนไข หรือขั้นตอนอย่างไร
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า แม้ว่าจะเจาะบ่อบาดาลสักบ่อในที่ดินของตัวเอง จ่ายเงินค่าใช้จ่ายเอง จ่ายเอกชนมาขุดเจาะเอง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อใช้ในการเกษตร เพื่อการอุปโภคบริโภค หรือเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ก็ต้องยื่นขออนุญาตการเจาะและใช้น้ำบาดาลกับทางราชการ
น้ำบาดาล เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ทุกคนมีสิทธิใช้ แต่การเจาะบ่อน้ำบาดาลไม่ได้มาตรฐาน และการใช้น้ำบาดาลมากเกินความสมดุล จะทำให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำบาดาล
เนื่องจากว่า น้ำบาดาล เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ทุกคนมีสิทธิใช้ แต่การเจาะบ่อน้ำบาดาลไม่ได้มาตรฐาน และการใช้น้ำบาดาลมากเกินความสมดุล จะทำให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำบาดาล ขณะเดียวกันหากมีการใช้อย่างฟุ่มเฟือย อาจส่งผลให้คุณภาพน้ำใต้ดินเปลี่ยนไป คุณภาพต่ำลง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำหรือปนเปื้อนสารพิษได้เช่นกัน แน่นอนว่าอาจอันตรายต่อสุขภาพหากนำไปกินหรือใช้
ทำให้ภาครัฐต้องเข้ามากำกับดูแล โดยตามตัวบทกฎหมายกำหนดไว้ว่า ทั้งพื้นที่กรุงเทพฯ และทุกจังหวัดทั่วประเทศเป็นเขตน้ำบาดาล และกำหนดว่า น้ำใต้ดินที่อยู่ลึกจากผิวดินลงไปเกินกว่า 15 เมตร ถือเป็นน้ำบาดาล
ดังนั้นผู้ใช้น้ำดังกล่าวจะต้องยื่นขอรับใบอนุญาตให้ถูกต้อง และหากไม่ดำเนินการ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับผู้ที่ต้องการเจาะและใช้น้ำบาดาลต้องไปติดต่อขอรับใบอนุญาตเจาะน้ำบาลและใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลให้เรียบร้อย โดยมีการแบ่งเป็น 3 กลุ่มพื้นที่หลักๆ ดังนี้
1. พื้นที่กรุงเทพฯ จะต้องติดต่อที่สำนักควบคุมกิจการน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
2. พื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ติดต่อได้ที่สำนักงานเทศบาลหรือองค์การบริการส่วนตำบลในพื้นที่นั้นๆ
3. พื้นที่จังหวัดอื่นๆ 73 จังหวัด ติดต่อได้ที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด
เอกสารที่ต้องใช้ ในการดำเนินการนั้น ประกอบด้วย 6 สิ่งหลักๆ ได้แก่
- บัตรประชาชน
- คำขอรับใบอนุญาต แบบ นบ.1 (ในส่วนนี้มีค่าธรรมเนียมฉบับละ 10 บาท)
- หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล สำหรับผู้รับใบอนุญาตที่เป็นนิติบุคคล
- หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในที่ดินหรือหนังสือยินยอมให้ใช้ที่ดิน
- หนังสือมอบอำนาจ พร้อมติดอากรแสตมป์ 30 บาท ในกรณีที่ให้ผู้อื่นดำเนินการแทน
- ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน กรณีที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม
สำหรับระยะเวลาในการพิจารณาใบอนุญาต อยู่ระหว่าง 2-17 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดบ่อน้ำบาดาล นอกจากนี้ยังต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเจาะน้ำบาดาลและใบอนุญาตใช้นำ้บาดาลด้วย เริ่มต้นตั้งแต่บ่อขนาด 2-3 นิ้ว มีค่าใช้จ่าย 100 บาท บ่อขนาด 4-6 นิ้ว มีค่าใช้จ่าย 500 บาท และบ่อขนาด 8 นิ้วขึ้นไป 1,000 บาท
ได้รับอนุญาตแล้ว ไม่ได้แปลว่า ใช้ได้ตลอดไป
นอกจากนี้ มีเรื่องที่หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ ก็คือ การขออนุญาตนี้จ่ายครั้งเดียว ใช้ได้ตลอดไป อันนี้ไม่เป็นความจริง
อย่างไรก็ตาม อัตราการเรียกเก็บค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล มีการกำหนดช่วงเวลาการจ่ายค่าธรรมเนียมแบ่งเป็นปีละ 4 งวด ดังนี้
- งวดที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม
- งวดที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน
- งวดที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 30 กันยายน
- งวดที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม
ที่มา : กรมทรัพยากรน้ำบาดาลa